รู้จัก 3 วิธีฆ่าเชื้อในน้ำ: UV, โอโซน และคลอรีน ต่างกันอย่างไร ?
1. การฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV (Ultraviolet)
หลักการ: ใช้แสงอัลตราไวโอเลต (UV) ความยาวคลื่นประมาณ 254 นาโนเมตร เพื่อทำลายดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอของจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว ทำให้ไม่สามารถแพร่พันธุ์และตายไปในที่สุด
ข้อดี:
- ไม่มีสารเคมีตกค้างในน้ำ
- ฆ่าเชื้อได้รวดเร็ว
- ไม่เปลี่ยนแปลงรสชาติหรือกลิ่นน้ำ
ข้อจำกัด:
- ต้องการน้ำใสสะอาด น้ำที่มีความขุ่นสูงจะลดประสิทธิภาพ
- ไม่มีผลตกค้างเพื่อป้องกันการปนเปื้อนได้ในระยะยาว
2.การฆ่าเชื้อด้วยโอโซน (Ozone)
หลักการ: โอโซน (O3) เป็นสารออกซิไดซ์แรงสูง ใช้ในการทำลายผนังเซลล์ของจุลินทรีย์และทำลายสารอินทรีย์ในน้ำ
ข้อดี:
- ฆ่าเชื้อได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกับไวรัส แบคทีเรีย และโปรโตซัว
- ช่วยลดกลิ่นและรสไม่พึงประสงค์ในน้ำ
-ไม่มีสารเคมีตกค้าง เนื่องจากโอโซนสลายตัวเป็นออกซิเจน
ข้อจำกัด:
- ต้องมีอุปกรณ์ผลิตโอโซนเฉพาะ
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้คลอรีน
- โอโซนมีความไม่เสถียร ต้องใช้ทันทีหลังผลิต
3.การฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน (Chlorine)
หลักการ: คลอรีนเป็นสารฆ่าเชื้อในกลุ่มสารออกซิไดซ์ที่สามารถทำลายเซลล์และโปรตีนของจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี:
- ราคาถูกและหาง่าย
- มีสารตกค้างในน้ำ ช่วยป้องกันการปนเปื้อนซ้ำได้ในระยะยาว
- ใช้ได้ทั้งน้ำเสียและน้ำดื่ม
ข้อจำกัด:
- อาจทำให้น้ำมีกลิ่นและรสคลอรีน
- การใช้คลอรีนมากเกินไปสามารถก่อให้เกิดสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น คลอโรฟอร์มหรือสารคลอรีนไนโตรเจน
- ต้องควบคุมปริมาณและเวลาในการใช้ให้เหมาะสม